ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

SEO Content เขียนอย่างไร จึงจะติดอันดับ ?

 

SEO Content เขียนอย่างไร จึงจะติดอันดับ ?


การเขียน SEO Content จะทำให้บทความของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยให้บทความของคุณติดอันดับบน Google ทำให้มีคนค้นหาเว็บไซต์ และบทความของคุณเจอเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย วันนี้เราจะพามาหาคำตอบกันค่ะ ว่าควรต้องทำอย่างไรบ้าง ?

1. กำหนด Keyword 
สำหรับการเขียน SEO Content นั้นต้องมีการกำหนด Keyword ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบทความที่เราเขียน โดยต้องวิเคราะห์ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะมาอ่านบทความของเราเป็นใคร และเขาจะใช้ Keyword อะไรในการค้นหา และอย่าลืมว่า Keyword มี่เราเลือกใช้ต้องมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ประมาณหนึ่งด้วย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนอื่นเราต้องดูว่าประเด็นที่เราจะเขียนนั้นคืออะไร เราสามารถนำประเด็นนั้นมาเป็น Keyword ตั้งต้นได้ เช่น การตลาดวันละตอนจะเขียนเรื่อง กลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ Keyword ที่เหมาะสมก็คือ กลยุทธ์การตลาด หรือ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เป็นต้น

2. ใส่ Keyword ให้ถูกตำแหน่ง
การใส่ Keyword ควรแทรกให้กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราเป็นพวกสแปมคีย์เวิร์ดได้ 

ปกติแล้ว SEO Content จะมีความยาวโดยประมาณอยู่ที่ 700-1,000 คำ ซึ่งปริมาณ Keyword ที่แทรกอยู่ในส่วนต่างๆ ของเนื้อหานั้น ก็ควรอยู่ที่ประมาณ 15-20 คำ

โดยตำแหน่งที่เราแนะนำให้แทรก Keyword เข้าไปก็คือ 

– ชื่อบทความ
– Slug หรือชื่อลิงก์ของบทความ
– ย่อหน้าแรก
– หัวข้อต่างๆ (แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกหัวข้อ)
– ชื่อภาพ และ Alt Text ของภาพ

3. วางโครงสร้างบทความให้ชัดเจน
การวางโครงสร้างบทความนั้นจะช่วยให้เราจับประเด็นในการเขียน และเรียงลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น แถมยังทำให้ผู้อ่านอ่านง่ายสบายตาขึ้นอีกด้วย

โดยให้หัวข้อหลักเป็น H1 หัวข้อย่อยเป็น H2 และ H3 ตามลำดับความสำคัญ

4. อย่าลืม Internal Link และ External Link
การใส่ Internal Link (ลิงก์ภายในเว็บไซต์) เพื่อให้สามารถคลิกไปอ่านบทความ หรือหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ จะสามารถช่วยเพิ่ม Traffic และ ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีความเชื่อมโยงกัน

ส่วนการใส่ External Link นั้นเป็นการลิงก์ไปหาเว็บไซต์อื่นภายนอก ยิ่งเป็นการลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพไปด้วย 

5. ปรับแต่ง Title Tag และ Title Description 
การทำ SEO Content นอกจากส่วนของบทความแล้วก็มีส่วนการปรับแต่ง Title Tag และ Title Description นี่แหละที่ลืมไม่ได้

Title Tag
สำหรับ Title Tag ควรต้องมี Keyword อยู่ด้วย ซึ่งเราสามารถนำชื่อบทความมาใช้ได้เลย แต่หากชื่อบทความยาวเกินไปก็อาจตัดทอนให้สั้นลง โดยยังคงความหมายเดิมไว้ ซึ่งจำนวนคำที่เหมาะสมนั้นจะอยู่ที่ 60-80 ตัวอักษร

Title Description
ส่วน Title Description นั้นจะเป็นเหมือนคำอธิบายบทความสั้นๆ ว่าบทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยในส่วนนี้ก็ควรจะแทรก Keyword ไปด้วยเช่นกัน โดยจำนวนคำที่เหมาะสมสำหรับ Title Description จะอยู่ที่ 180 – 250 ตัวอักษร

ที่มา: SEO WINNER

ความคิดเห็น

  1. รับทำเว็บไซต์ สุราษฎร์ธานีเว็บไซต์คือตัวแทนธุรกิจ ที่นำเสนอสินค้าและบริการให้เป็นที่รู้จักได้ตลอด 24 ชั่วโมง บริการ รับทำเว็บไซต์ รองรับการใช้งานบนมือถือ แท็บเล็ต พีซี บริการ รับทำเว็บไซต์ ราคาถูก ค้นหาง่าย

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เช็กกันหรือยัง? Top 5 เทรนด์ SEO ในปี 2022

  เราต่างทราบกันดีว่า Search Engine Optimization หรือที่เรียกกันติดปากว่า SEO นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามายังแพลตฟอร์มออนไลน์ของเรา สิ่งหนึ่งที่คนทำ SEO รู้ดีคือ SEO มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราจำเป็นต้องติดตามเทรนด์อยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ของเรามีประสิทธิภาพมากพอ เพราะกลยุทธ์ที่เก่ากว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้ผลในปัจจุบันเท่านั้น แต่กลยุทธ์ที่ล้าสมัยบางอย่าง เช่น การใช้คำหลักมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อ SEO ด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้เราจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ SEO ให้เข้ากับแนวโน้มล่าสุดอย่างต่อเนื่อง หากสงสัยว่าแนวโน้ม SEO ที่จะมีผลกระทบมากที่สุดในปี 2022 มีอะไรบ้าง ตามมาเลยค่ะ! 1. ปัญญาประดิษฐ์จะมีบทบาทมากขึ้นใน SEO ในขณะที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับเนื้อหาออนไลน์ AI ก็จะเริ่มมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ SEO ด้วยเช่นกัน สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ AI algorithm RankBrain ของ Google เนื่องจากสิ่งนี้อาจกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดของ Google (search engine results pages) ในปี 2022 เพราะตั...

BoomTharis เผยความท้าทายการทำ VDO Content

  นาทีนี้ต้องบอกว่าเขาคือชายหนุ่มที่ Hot ที่สุดของวงการ Influencer ซึ่งเป็นใครไม่ได้นอกจากชายที่ชื่อ “บูมธริศ” BoomTharis หรือ “ธริศร ธรณวิกรัย” ซึ่งวันนี้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกับเขาในมุมสบายๆ ถึงเส้นทางชีวิตตั้งแต่ก่อนมาเป็น Youtube Creator ชื่อดัง จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่มียอดซัปสไครบน Youtube Channel อยู่ที่ 1.18 ล้านคน และผู้ติดตามใน Facebook 5.9 แสนฟอลโลว์เวอร์ กับภาพลักษณ์ของ “บูมธริศ” กลายเป็นโลโก้ของความ Luxury ไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่เรียบง่าย สุภาพ ออกจะติดขี้อายนิดๆ ด้วย และที่สำคัญคือมีมุมการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจที่สามารถเป็นข้อแนะนำให้กับทั้ง Influencer และ Brand ได้อีกด้วย มารู้จักตัวตนของ “บูมธริศ” ชายผู้ชักชวนทุกคนมารู้จัก Lifestyle และเรื่องราวรอบตัวของเขานอกเหนือจากความ Luxury เส้นทางเริ่มต้นก่อนเปิด Youtube Channel บูมเล่าว่าจุดเริ่มต้นของเขามาจากการเป็นช่างภาพที่เว็บไซต์ Think of Living.com ก่อน จากนั้นก็เริ่มมาเป็น Editor Content เขียนคอนเทนต์ให้กับเว็บ ก่อนที่จะปรับจากบทความเป็นรูปแบบวิดีโอ โดยทำให้กับ Think of Living.com อยู่ประมาณ 4-5 ปีก่อนจะมาเป็นชาแน...

จะทำอย่างไร เมื่อเจอปัญหาเว็บไซต์ไม่ติด Google

ปัญหาเว็บไซต์ไม่ติด Google ถือว่าเป็นปัญหาที่พบเจอกันบ่อยมากที่สุด โดยเฉพาะเจ้าของกิจการที่ได้ขยายธุรกิจมาขายของบนออนไลน์ ได้พบว่าเว็บของเราไม่สามารถทำอันดับที่ดีบน Google ได้เลย ถึงแม้ว่าจะทำการซื้อโฆษณา หรือทำ SEO แล้ว แต่ก็ยังไม่ติดอันดับ ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า ปัญหาเหล่านี้มีอะไรบ้าง และจะแก้ไขได้อย่างไร เว็บไซต์นิ่ง โหลดช้า ถ้าหากหัวข้อ หรือลิงก์ในหน้าเว็บไซต์ของคุณมีการกดเข้าไปแล้ว แต่กลับไปต่อไม่ได้ หรือโหลดช้า ไม่ว่าจะเพราะใช้ภาพใหญ่เกินไป ทำกราฟฟิกมากเกินไปก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาด้านเทคนิคที่ต้องตระหนักเป็นอันดับแรกสุดเสมอ ดังนั้นเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่าย เพื่อขายสินค้า และบริการเป็นหลัก ควรต้องระวังในเรื่องนี้อย่างมาก ขาด Keywords ที่จำเป็น เนื่องจากโครงสร้าง SEO Content นั้น หัวใจสำคัญคือต้องมี Focus Keyword ซึ่งถือว่าเป็น "คำหลัก" เลย เป็นการค้นหาที่ Google ต้องการมากที่สุด ถ้าหากเราขาดตรงนี้ หรือมีไม่มากพอใน Content นั้นๆ การค้นหาก็จะทำได้ยาก สิ่งที่ควรมีก็คือความชัดเจน เพื่อบอกว่าเว็บของเราเกี่ยวกับอะไร ทำอะไร และขายอะไร อาจจะมีหลายครั้งที่ Content ของเว็บเร...